วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555


เป็นหมอ ... แต่ไม่มีความสุข ... ตอบโดย นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
Dr.Sant บทความสุขภาพ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ (chaiyodsilp@gmail.com)
                28 มีนาคม 2012
เป็นหมอ..แต่ไม่มีความสุข
เรียน อาจารย์ที่เคารพ
ผมรู้จักอาจารย์มา 3 ปี จากจดหมายส่งตัวคนไข้กลับตจว.ที่แนบไว้ใน OPD card ของรพ.ที่ผม ทำงานใช้ทุน ซึ่งผมประทับใจในเนื้อหาสาระและวิธีการเขียนมาก และได้ติดตามอาจารย์เรื่อยมา ตั้งแต่The Symptom มาจนถึง Visitdrsant.blogspot.com
ตอนนี้ผมเป็น พชท.3 เมื่อปีกลายเพื่อนเขากลับไปเรียนกันหมดแล้ว แต่ผมยังอยู่ และนี่ก็จะถึง เวลาที่จะต้องตัดสินใจเรื่องเรียนต่ออีกแล้ว แต่ผมยังสรุปไม่ได้ว่าจะเอาไงดี ผมรู้สึกว่าตัวเอง ไม่มีความสุขและอยากจะเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่น อยากฟังคำแนะนำของอาจารย์เรื่อง การเลิกหรือไม่เลิกอาชีพ หากไม่เลิก จะเลือกเรียนต่อในสาขาอะไรดีจึง จะมีความสุขในชีวิตมากกว่านี้
    คำตอบ โดย อ. สันต์
 1.การที่คนๆหนึ่งจะไม่มีความสุข และคิดจะเปลี่ยนงาน อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับ คนทุกอาชีพ ไม่เว้นแม้แต่อาชีพแพทย์ เมื่อปี 2010 มูลนิธิแพทย์อเมริกัน (The Physician Foundation)ได้ว่าจ้างให้สำนักเมอริท ฮอว์คินส์ ทำสำรวจแพทย์อเมริกัน พบว่า 40% ของแพทย์ไม่มีความสุขกับงานที่ทำถึงขั้นมีแผนจะเลิกทำงานแพทย์ใน 1-3 ปีข้างหน้า ดังนั้นคุณไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด   อย่าวอรี่มากไป

2.ถามว่าแพทย์คนที่เขามีความสุขกันนั้นเขาเป็นคนอย่างไรกัน งานวิจัย Medscape's Physician Lifestyle Report: 2012 ที่เพิ่งเผยแพร่ออกมาไม่นานนี้น่าจะตอบคำถามคุณได้ เขาถามแพทย์ กว่า 29,000 คน แล้วพบว่า

     2.1 แพทย์กลุ่มที่มีความสุขเฉลี่ยมากที่สุด มีลักษณะดังนี้
- มีอายุเกิน 60 ปี
- มีเงิน
- ไม่มีหนี้
- น้ำหนักแรกคลอดปกติ (เกี่ยวกันไหมเนี่ย)
- มีสุขภาพดี
- ออกกำลังกายเฉลี่ย 4 ครั้งต่อสัปดาห์ขึ้นไป
- ดื่มแอลกอฮอล์เฉลี่ยวันละ 1-2 ดริ๊งค์
- ไม่สูบบุหรี่
- แต่งงานแล้วและยังแต่งงานอยู่
- เชื่อในศาสนาและทำงานจิตอาสาให้องค์กรศาสนา
คุณลองเอาผลวิจัยนี้มาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับข้อมูลส่วนตัวของคุณเองดูนะครับ อาจพบ สาเหตุที่ทำให้คุณไม่มีความสุขแล้วแก้ไขสำเร็จก็ได้ เพราะบางสาเหตุนั้นแก้ไขได้ง่ายๆโดย ไม่ต้องไปพึ่งใครเลย เช่นการออกกำลังกาย เป็นต้น

อันนี้ผมแถมให้นะครับ ผมฟังน้ำเสียงแล้วคุณหมอก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร ผมแนะนำให้คุณทู่ซี้อยู่ในอาชีพแพทย์นี้ไปก่อนสิครับ ผมแนะนำให้คุณหัดใช้ชีวิตแบบพอร์ตโฟลิโอ  (Portfolio life) คุณชอบอ่านหนังสือหรือเปล่าละครับ ลองหาหนังสือของชารล์ส แฮนดี้ (Charles Handy) มาอ่านหน่อยสิ ผมแนะนำสองเล่ม คือ Beyond Certainty: The Changing World of Organizations. และ The Hungry spirit: Beyond Capitalism, A Quest for Purpose in Modern World. ถ้าเผื่อคุณไม่มีอารมณ์จะไปหาหนังสือมาอ่าน ผมสรุปให้ฟังตรงนี้ก็ได้

  คือชาร์ล แฮนดี้มองชีวิตการทำงานในปัจจุบันว่าองค์กรที่เป็นนายจ้างหรือต้นสังกัดของผู้คนนั้นล้วนอยู่ในสภาพสามวันดีสี่วันไข้เพราะข้อมูลซึ่งเป็นหัวใจของธุรกิจนั้นไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นใครก็ตั้งบริษัทมาแข่งกับใครได้  อีกทั้งบริษัทและสถาบันต่างๆก็ล้วนบริหารด้วยคนเดินดินธรรมดา ซึ่งไม่มีคนธรรมดาคนไหนจะล่วงรู้อนาคตได้ การล่มสลายและเกิดใหม่ของบริษัทจึงไม่ใช่เหตุการณ์ชั่วคราว แต่จะเป็นวิถีชีวิตของอนาคต รังอันอบอุ่นที่จะเลี้ยงดูเราไปจนเกษียณไม่มีอีกต่อไปแล้ว เขาจึงเสนอชีวิตแบบพอร์ตโฟลิโอ คำว่าพอร์ตโฟลิโอ (portfolio) ไม่ได้หมายถึงพอร์ตหุ้นหรือแฟ้มงาน แต่หมายถึงการทำงานแบบที่ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง เช่นตำแหน่งรัฐมนตรีเกษตร เขาต้องดูแลทั้งงานป่าไม้ ประมง การวิจัย และที่ดิน ชีวิตแบบพอร์ตโฟลิโอก็คือชีวิตที่เป็นชุดของกิจกรรมที่อาจจะไม่เกี่ยวกันเลย แทนที่จะมีอาชีพเดียวแบบดั้งเดิม เช่นด้านหนึ่งคุณทำงานฟูลไทม์อยู่กับบริษัทหนึ่ง แล้วทำพาร์ทไทม์อีกที่หนึ่งซึ่งลักษณะงานอาจไม่เกี่ยวกันเลย  แต่ก็ยังจัดเวลาไปเข้าชั้นเรียน ไปเป็นกรรมการมูลนิธิ และไปทำกิจกรรมเพ้นท์กระเบื้องอีกด้วย เป็นต้น แฮนดี้เชื่อว่าชีวิตแบบพอร์ตโฟลิโอจะเป็นวิถีชีวิตของคนในศตวรรษนี้ คนที่จะใช้ชีวิตแบบพอร์ตโฟลิโอ จะด้วยความสมัครใจหรือด้วยความจำใจเพราะบริษัทลดขนาดลงก็ตาม จะต้องเรียนรู้ในการจัดการชีวิตอิสระที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ ต้องหัดทำงานหลายอย่างโดยไม่ให้งานหนึ่งครอบงำอีกงานหนึ่ง ต้องวางแผนอนาคตให้ตนเองแทนที่จะปล่อยไปตามยถากรรม และที่สำคัญที่สุดคือต้องค้นหาว่าเป้าหมายในชีวิตนั้นคืออะไร เพราะว่าวันนี้ไม่มีใครรับผิดชอบชีวิตคุณอีกต่อไปแล้ว 
     นอกจากการเสนอชีวิตแบบพอร์ตโฟลิโอแล้ว แฮนดี้ยังเสนอให้ค้นหาความหมายของชีวิต แทนที่จะคิดว่าเราเป็นเพียงสิ่งเล็กๆในห้วงกาลเวลาและมหาสมุทรของโลก ดั่งนกกระจอกที่บินสู่ห้องโถงอันมืดมิด ทำให้คิดไปว่าการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ช่างน่าเบื่อ มีอะไรอีกไหม นอกจากแต่งงาน มีลูก ทำงานเพื่อหาเงินยาไส้เท่านั้น ช่างไร้ค่าจัง แฮนดี้ให้เปลี่ยนความคิดมาหาความหมายของชีวิต ให้มองว่าแม้ตัวเราจะเล็กกระจิ๊ดริด แต่ในโลกที่แม้เพียงผีเสื้อตัวเดียวขยับปีกก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ระดับหนึ่งนี้ เรายังทำอะไรให้ได้บ้างพอควร แล้วทำไมไม่ทำสิ่งต่างๆให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ล่ะ ถ้าเราเปลี่ยนแปลงอะไรได้ระดับหนึ่ง เราก็มีชีวิตอยู่อย่างมีความหมายได้ แฮนดี้เชื่อว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่และน่าพอใจมากที่สุดในชีวิต คือการมีเป้าหมายที่ไกลออกไปจากตัวเอง นั่นคือเป้าหมายเพื่อร่วมสร้างสรรค์สิ่งที่ดี เป็นต้น
    ลองเอาความคิดของแฮนดี้มาประยุกต์ใช้กับตัวเองดูนะครับ ในที่สุดอาจค้นพบวิธีใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุขด้วยตัวเองก็ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น